พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค [10. ปายาสิสูตร] อุปมาด้วยคนทูนห่ออุจจาระ
[431] ท่านกัสสปะ พูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมไม่อาจสละทิฏฐิชั่วนี้ได้
พระเจ้าปเสนทิโกศลหรือพระราชานอกอาณาจักรทรงรู้จักโยมอย่างนี้ว่า เจ้าปายาสิ
ทรงมีวาทะอย่างนี้ ทรงมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกอื่นไม่มี โอปปาติกสัตว์
ไม่มี ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและทำชั่วไม่มี หากโยมสละทิฏฐิชั่วนี้ จะมีคนว่า
โยมได้ว่า เจ้าปายาสินี้ช่างโง่เขลา ไม่ฉลาด ยึดถือแต่สิ่งผิด ๆ โยมจะถือทิฏฐินั้น
ต่อไป เพราะความโกรธ เพราะความลบหลู่ เพราะความแข่งดี
อุปมาด้วยคนทูนห่ออุจจาระ
[432] บพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะยกอุปมาถวายพระองค์ให้สดับ
คนฉลาดบางพวกในโลกนี้ เข้าใจความหมายแห่งถ้อยคำได้ด้วยอุปมาโวหาร เรื่องเคยมี
มาแล้ว มีบุรุษผู้เลี้ยงสุกรคนหนึ่งออกจากหมู่บ้านของตนไปยังหมู่บ้านอื่น เห็น
อุจจาระแห้งจำนวนมากที่เขาทิ้งไว้ในบ้านนั้น จึงมีความคิดดังนี้ว่า อุจจาระแห้ง
มากมายที่เขาทิ้งนี้เป็นอาหารของสุกรของเรา ทางที่ดี เราควรนำอุจจาระแห้ง
ไปจากที่นี้ จึงปูผ้าห่มลงแล้วโกยเอาอุจจาระแห้งจำนวนมาก ผูกเป็นห่อทูนเดินไป
ในระหว่างทาง เขาถูกฝนห่าใหญ่นอกฤดูกาล ตกรดเปรอะเปื้อนไปด้วยอุจจาระ
ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเล็บ(เท้า) ทูนเอาห่ออุจจาระที่ล้นไหลเดินไป
ชาวบ้านเห็นเขาจึงถามว่า ท่านบ้าหรือเปล่า เสียจริตหรือเปล่า ทำไมจึง
เปรอะเปื้อนด้วยอุจจาระตั้งแต่ศีรษะจดปลายเล็บ ทูนห่ออุจจาระที่ล้นไหลอยู่เล่า
บุรุษนั้นตอบว่า พวกท่านต่างหากที่บ้า พวกท่านต่างหากที่เสียจริต ความจริง
อุจจาระเป็นอาหารของสุกรของเรา
บพิตร พระองค์ก็เช่นเดียวกับบุรุษผู้ทูนห่ออุจจาระเดินไปนั่นแหละ พระองค์
โปรดสละทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ปล่อยวางทิฏฐิชั่วนั้นเถิด ทิฏฐิชั่วเช่นนั้นอย่าได้เกิดมีแก่
พระองค์เพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนานเลย
[433] ท่านกัสสปะพูดอย่างนั้นก็จริง แต่โยมไม่อาจสละทิฏฐิชั่วนี้ได้ พระเจ้า
ปเสนทิโกศลหรือพระราชานอกอาณาจักรรู้จักโยมอย่างนี้ว่า เจ้าปายาสิทรงมีวาทะ